ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ใช่ว่าจะสามารถให้บริการทางการแพทย์ แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง “สำนักงานสัมมะโนประชากรของสหรัฐฯ ” รายงานว่า ชาวอเมริกันเกือบ 46 ล้านคนยังไม่มีประกันสุขภาพ  

องค์กรทางการแพทย์แห่งหนึ่ง ซึ่งให้บริการดูแลสุขภาพ โดยไม่คิดมูลค่าแก่คนในประเทศยากจน จึงหันความสนใจการให้บริการ มายังพื้นที่ห่างไกลและยากจนในสหรัฐฯ เพื่อผู้มีรายได้น้อย จะสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ 

องค์กรทางการแพทย์ชื่อว่า “Remote Area Medical” หรือเรียกย่อๆ ว่า “RAM”  จะส่งหมอ และเครื่องมือแพทย์เข้าไปในพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของสหรัฐฯ ปีละหลายครั้ง เพื่อรักษาคนไข้ โดยคิดค่าบริการเพียงรายละไม่ถึง 4 ดอลลาร์

คุณสแตน บร็อค ก่อตั้งองค์กรแห่งนี้เมื่อ 23 ปีก่อน ด้วยจุดประสงค์นำการรักษาพยาบาล ไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา แต่เมื่อเร็วๆ นี้ องค์กรนี้หันมาให้บริการในเขตชนบทของสหรัฐ ตั้งคลินิกในพื้นที่ห่างไกล รักษาผู้ป่วยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ในหลายพื้นที่เช่นที่เขตการปกครอง “นอตต์” ในรัฐเคนตัคกี ที่นี่เป็นเมืองทำเหมืองถ่านหิน ชาวเมืองส่วนมากทำงานได้รับค่าแรงต่ำ และไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ 

องค์กรนี้ต้องพึ่งพาอาสาสมัคร ในบางสัปดาห์มีจักษุแพทย์ 6 คน ทันตแพทย์ 24 คน และแพทย์เฉพาะทางอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยอาสาสมัครที่จะต้องรักษาคนไข้เกือบพันคน

คลินิคเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า ซึ่งตามปกติจะมีประชาชนราว 1 พันคนมายืนต่อแถวเพื่อเข้ารับการรักษาฟรี แต่บางวันที่มีอากาศหนาวเย็น ก็อาจจะมีน้อยไปบ้าง  บางคนมารอตั้งแต่กลางคืน เพื่อจะได้รับการรักษาเป็นลำดับแรก ในทันทีที่คลินิกเปิดบริการ  นอกจากจะเป็นความหวังของคนรายได้น้อยแล้ว  สำหรับคนตกงานก็เป็นโอกาสเดียวของพวกเขาที่จะได้พบแพทย์

ในสหรัฐฯ รัฐบาลให้บริการดูแลสุขภาพที่เด็กๆ สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่  คนส่วนใหญ่แม้มีงานทำ แต่ก็ยังไม่สามารถมีประกันสุขภาพ  หรือถึงมีแต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมบริการที่คนส่วนใหญ่ต้องการ คือ การดูแลรักษาสุขภาพตาและฟัน

คุณแดเนียล มอนจิอาร์โด้ รองผู้ว่าการรัฐเคนตัคกี ชี้ว่า สาเหตุที่ระบบบริบาลสุขภาพในสหรัฐล้มเหลว คือราคาที่แพงเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงได้

RAM หรือหน่วยแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล จึงเป็นความหวังของผู้มีรายได้น้อยในสหรัฐฯ ที่จะสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข องค์กรแห่งนี้มีแผนจะขยายบริการในสหรัฐ ไปพร้อมๆ กับในแอฟริกาและอเมริกาใต้